วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วิธีการ Config Access Point

การ setup อย่างง่ายๆ เพื่อทดลองการเชื่อมต่อ ระหว่างอุปกรณ์ชิ้นต่างๆ นั้น ผมแนะนำให้ลองใช้ Setup Wizard เลยครับ ง่ายดี โดยเฉพาะการ Setup ของ D-Link DWL-2000AP+ ที่ผมนำมาเป็นตัวอย่างในครั้งนี้ ไม่ต้องลง software อะไรเลยครับ
หลังจากที่ผมแกะกล่องออกมาแล้ว ผมก็จัดการเสียบสาย Power เข้ากับตัว Wireless Access Point ทันที พร้อมทั้งเสียบสาย LAN เพื่อเชื่อมต่อระหว่าง Wireless Access Point กับเครื่องคอมพิวเตอร์ครับ


การติดตั้ง Hardware เรียบร้อบแล้วครับ ต่อไปก็จะเป็นการตั้งค่าตัว Wireless Access Point กันบ้าง ขั้นแรกเลยก็ให้เปิด Web Browser ขึ้นมา ในที่นี้ผมขอใช้ Microsoft Internet Explorer นะครับ จากนั้นก็พิมพ์ 192.168.0.50 ไปที่ช่อง Address ตามรูปแล้วก็กด Enter ครับ หลังจากนั้นก็จะมี Windows เล็กๆโผล่ขึ้นมา ถาม Username และ password ครับ สำหรับ Wireless Access Point ของ D-Link ที่เพิ่งแกะกล่องออกมา จะตั้งค่า Username เป็น admin แต่ไม่มี password ครับ ทีนี้เราก็ป้อน admin ไปในช่อง Username แล้วก็คลิ๊กปุ่ม OK ได้เลยครับ หน้าจอหลักครับ ตอนนี้เราจะเริ่ม Setup กันเลยนะครับ ขั้นแรกให้ลองคลิ๊กที่ Setup Wizard ดู



หน้าจอหลักครับ ตอนนี้เราจะเริ่ม Setup กันเลยนะครับ ขั้นแรกให้ลองคลิ๊กที่ Setup Wizard ดู


ขั้นแรก ที่จะต้องทำคือ เปลี่ยน Password ซะก่อนนะครับ โดยพยายามเลือก Password ที่ไม่ง่ายในการเดาเกินไปนัก ใช้คำที่ไม่มีใน Dictionary ยิ่งปลอดภัยครับ


หลังจากนั้นก็คือการเปลี่ยนชื่อ SSID ซึ่งก็คือระบบ Network ไร้สาย หรือเรียกย่อๆว่า WLAN (Wireless Local Area Network) การตั้งชื่อ SSID นี้ เราสามารถตั้งเป็นอะไรก็ได้ แต่ต้องไม่เกิน 32 ตัวอักษรครับ

ต่อไปก็คือการเลือก Channel อะไรคือแชนแนล? Channel นั้น คิดง่ายๆก็เหมือนคลื่นความถี่วิทยุนี่เอง พอผมคลิ๊กลงไปที่ Drop Down Menu ก็จะเห็นว่ามีถึง 13 Channel ให้เลือกครับ ค่าที่ตั้งมาจากโรงงานก็คือ 6 ครับ เราสามารถเปลี่ยนเป็น Channel อะไรก็ได้ในภายหลัง เมื่อมีสัญญาณรบกวนจาก Wireless Network ข้างเคียงที่บังเอิญมาใช้ Channel เดียวกับเราครับ
ต่อไปก็คือการ set ค่า WEP WEP ย่อมาจาก Wired Equivalent Privacy แปลเป็นไทยได้ว่า ความปลอดภัยหรือความเป็นส่วนตัวเสมือนระบบที่ใช้สาย นั่นเอง ในขั้นต้นนี้ผมขอข้ามไปก่อนก็แล้วกันนะครับ โดยผมจะปล่อยให้เป็นค่า Default ที่ตั้งมาจากโรงงาน คือ Disabled แล้วเดี๋ยวค่อยไปพูดถึงตอน Advance Setting ก็แล้วกันนะครับ ตอนนี้กำลังเห่อ อยากลองใช้ Wireless LAN แล้วครับ


หลังจากคลิ๊ก Apply แล้ว ก็จะมีหน้าจอขึ้นมาบอกว่า กำลัง restart Wireless Access Point อยู่

ให้คลิ๊ก Continue จากนั้นก็ให้ปิด Web Browser ได้เลยครับ

ต่อมาก็คือการ setup ตัวเครื่องลูกข่ายกันบ้าง ผมจะลองใช้เครื่อง Notebook ของ Compaq Presario X1012AP เป็นตัวทดลองแล้วกันนะครับ เพราะรุ่นนี้มี 802.11b Wireless LAN ติดตั้งมาพร้อมเลย สะดวกดีครับ ไม่ต้องหาซื้ออุปกรณ์ต่อพ่วงมาให้หนักกระเป๋าสตางค์
ทางมุมขวาล่างของหน้าจอจะเห็นรูปจอซ้อนกันสองจอ ซึ่งเป็น icon ของ Wireless LAN อันนึง และของ LAN แบบมีสายอีกอันนึงครับ
วิธีการก็ไม่ยากเลยครับ เพียงแค่เปิดสวิทซ์ Wireless LAN ที่ตัว Notebook เท่านั้นครับ อย่างในรูปจะเห็นไฟสีฟ้าทางด้านหน้าของเครื่อง แสดงว่า Wireless LAN ได้ถูกเปิดแล้วครับ คราวนี้จะเห็นว่า Notebook ได้เจอระบบ Wireless LAN ของเราแล้ว แต่ก็จะเตือนว่าระบบของเราไม่ปลอดภัย พร้อมทั้งถามว่า แน่ใจเหรอที่จะ connect ตอนนี้ผมก็อยากจะลองครับ ก็เลยติ๊กเครื่องหมายถูกดังรูปครับ
เสร็จแล้วครับ ง่ายไหมครับ จะเห็นที่ icon ได้เปลี่ยนไป พร้อมทั้งแจ้งว่าการเชื่อมต่อสมบูรณ์แล้วครับ





จบแล้วครับ การ setup แบบที่ง่ายที่สุด แต่ก็ไม่ปลอดภัยที่สุดด้วย ยกเว้นแต่ว่าถ้าบ้านคุณตั้งอยู่ในสวนลึกๆ ที่ห่างไกลจากผู้คน การ setup


แค่นี้ก็เพียงพอแล้วถ้าไม่อย่างนั้นละก็ เราควรที่จะ setup Wireless Access Point ให้มีระบบการรักษาความปลอดภัยที่ดีขึ้นนะครับ


วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สรุปการสร้างฟอร์มที่ได้จากวันที่ 16 ส.ค. 53

วิธีการสร้าง List Values
- เลือก Insert > From > Select (List/Manu)
- แล้วคลิกที่ (List/Manu) ที่ได้มา โดยให้ Preproties ของมันโผล่ขึ้นมา
- แล้วคลิกที่ List Values... จากนั้นจะมีไดอะล๊อกบล็อกโผล่ขึ้นมา ให้ทำการเพิ่มหรือลบตามต้องการ

วิธีการอัพโหลดรูปภาพ
- เลือก Insert > From > File Field


วิธีการสร้าง Checkbox ให้เลือกได้หลายทาง
- เลือก Insert > From > Checkbox

การสร้าง Redio Group ให้เลือกได้อย่างใดอย่างหนึ่ง
- เลือก Insert > From > Redio Group

การกำหนดให้รับค่าเฉพาะตัวเลข
- เลือก Insert > From > Spry Validation Text Field
- แล้วไปคลิกที่มันสร้างมาเมื่อกี๊ จะโผล่แถบ Properties ขึ้นมา
- ในหัวข้อ Type ให้เลือกเป็นแบบ Integet แล้วติ๊กเครื่่องหมายถูกในช่อง ดังนี้
1.Blur
2.Requied
3.Enforce Pattem
* Min Char คือ การที่เรากำหนดให้ผู้ใช้พิมพ์น้อยกว่าที่เรากำหนด<มันจะเตือนขึ้นมา>
* Max Char คือ การที่เรากำหนดให้ผู้ใช้พิมพ์เกินที่เรากำหนดแล้ว<มันจะเตือนขึ้นมา>
* Min Char ตั้งค่าที่ Preview States เลือก Min.# แล้วจะมีตัวอักษรให้เราขึ้นมาเปลี่ยน
* Max Char ตั้งค่าที่ Preview States เลือก Exeeded Max. แล้วจะมีตัวอักษรขึ้นมาให้เปลี่ยน
* Required คือ การตั้งค่าเมื่อผู้ใช้ลืมพิมพ์อะไรลงไป

วิธีการทำ Password
- เลือก Insert > From Spry Validation Passrord
- แถบ Properties ให้ติ๊กถูกที่ช่อง Blur
* Min Char คือ การที่เรากำหนดให้ผู้ใช้พิมพ์น้อยกว่าที่เรากำหนด<มันจะเตือนขึ้นมา>
* Max Char คือ การที่เรากำหนดให้ผู้ใช้พิมพ์เกินที่เรากำหนดแล้ว<มันจะเตือนขึ้นมา>
* Required ตั้งข้อความเตือนถ้าผู้ใช้ไม่ได้ใส่อะไรในช่อง
* Min.# ตั้งข้อความเตือนถ้าผู้ใช้ใส่น้อยกว่าเรากำหนด
* Exceeded Max. ตั้งข้อความเตือนถ้าผู้ใข้ใส่เกินกำหนด
* Min Letters คือ การกำหนดให้ตัวอักษรห้ามน้อยกว่าที่เรากำหนด
* Max Letters คือ การกำหนดให้ตัวอักษรห้ามมากกว่าที่เรากำหนด
* Min Numbers คือ การกำหนดให้ตัวเลขห้าน้อยกว่าที่เรากำหนด
* Max Mumbers คือ การกำหนดให้ตัวเลขห้ามมากกว่าที่เรากำหนด
* Min Uppercase คือ การกำหนดให้มีตัวพิมพ์ใหญ่ห้ามน้อยกว่าที่เรากำหนด
* Max Uppercase คือ การกำหนดให้มีตัวพิมพ์ใหญ่ห้ามมากกว่าที่เรากำหนด
* Min Special Char คือ การกำหนดตัวอักษรพิเศษห้าน้อยกว่าที่เรากำหนด
* Max Special Char คือ การกำหนดตัวอักษรพิเศษห้ามมากกว่าที่เรากำหนด

หมายเหตุ : เนื้อหาอีกบางส่วนรอสรุปต่อจากเพื่อน ๆ อีกทีหนึ่ง

วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การทำภาพโลโม้


1.เลือกภาพที่ต้องการ
2.สร้าง Background ขึ้นมาอีกหนึ่งอัน โดยคลิกขวาที่ Background คลิดที่ Dvplicate Layer
3.เปลี่ยนจาก Nomal เป็น Soft Light
4.สร้าง Layer ขึ้นมาเปลี่ยน Feather เป็น 30px ไปที่เครื่องมือ Rectargvlar Marquee Tool
5.ลากใส่รูปให้เป็นคล้ายกรอปรูป
6.คลิกขาว Select Inverse ใช้เครื่องมือ Paint Bucket Tool เพื่อเติมสีเลือกเป็นสีขาว-ขาว
7.จากนั้นกด Ctrl+J เพื่อ Copy Layer เปลี่ยน Nomal ให้เป็น Overley ท้งสอง
8.แล้วลากเพื่อทำเป็นคล้ายๆ แสงสว่าง แล้วแลื่อน Layer นั้นมาใส่ระหว่างกลางของสอง Layer ก่อนหน้า

ภาพรุ้งกินน้ำ


1.เลืิอกภาพ
2.สร้าง Layer ขึ้นมา
3.จากนั้นไปที่เครื่องมือ Gradient Tool
4.แล้วไปเลือกสีลูกเล่นที่ Special Effects เลือกสีคล้ารุ้ง
5.แล้วนำมาลากใส่ Layer ที่สร้างไว้
6.จัดวางตามต้องการปรับ Opacity ให้จางลง

การเบลอหลังภาพให้ดูเหมือนกล้องถ่ายรูป


1. เปิดไหล์ภาพที่ต้องการเบลอ
2.จากนั้นกด Ctrl+J เพื่อ Copy Layer
3.จากนั้นไปที่ Filter>Blur>Gaussian Blur
4.จะกดที่ Add Vector Mask จะเห็นได้ว่าจะมี Layer ซ้อนขึ้นมา
5.จากนั้นใช้เครื่องมือ Brush Tool
6.ทำการสลับสีโดยกด X ให้สีดำอยู่ด้านบน
7.ทำการ Brush ตรงที่เราไม่ต้องการเบลอ

ภาพสีน้ำ


1.เปิดไฟล์ภาพที่ต้องการเบลอจากนั้นกดCtrl+Jเพื่อก๊อปLayer
2.จากนั้นไปที่Fiter>Blur>Gaussian Blur
3.ปรับระดับภาพเบลอตามต้องการ
4.จะกดที่Add Vector Mask จะเห็นได้ว่าจะมีLayerซ้อนขึ้นมา
5.จากนั้นใช้เครื่องมือBrush Tool
6.ทำการสลับสีโดยกดxให้สีดำอยู่ด้านบน
7.ทำการBrushตรงที่เราไม่ต้องการเบลอ

สรุป Conept Creative Thinking

การพัฒนาทัศนคติและวิธีการคิดอย่างสร้างสรรค์
- อย่างคิดในแง่ลบ ต้องคิดในแง่บวก - อย่ากลัว ต้องกล้าเสียง
- อย่าชอบพวกมากลากไป ต้องคิดแบบหัวเดียวกระเทียมลีบ
- อย่าปิดตนเองในวงแคบ ต้องเปิดรับประสบการณ์ใหม่ ๆ
- อย่ารักสบาย ๆ ทำไปเรื่อย ๆ ต้องลงแรง บากบั่น มุ่งสู่ความสำเร็จ
- อย่าท้อ แท้ และหมดกำลังใจ ไม่ไม่เจอคำตอบ ต้องอดทน
- อย่าละทิ้งความคิดใด ๆ จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าไร้ประโยชน์ ต้องชะลอการตัดสินใจ
- อย่ากลัวการเผยแพร่ผลงาน ต้องกล้าเผยแพร่ และกล้าเปิดเผย

ลำดับขั้นในการคิดอย่างสร้างสรรค์ สาเหตุที่ทำให้คิดไม่สร้างสรรค์
- กำหนดเป้าหมายการคิด - ตอบสนองตามความเคยชิน - มองว่าตนเองไม่มีความคิดสร้างสรรค์
- แสวงหาแนวคิดใหม่ ๆ - เต็มไปด้วยความคิดในแง่ลบ - กลัวว่าตนเองจะเป็นแกะดำ
- ประเมินและคัดเลือกแนวคิด - กลัวต่อความผิดพลาดและล้มเหลว - ยึดติดกับกรอบความคิดแบบเดิม ๆ

องค์ประกอบที่ช่วยเสริมสร้าง การเรียนรู้เทคนิคการคิดเชิงสร้างสรรค์
ความคิดแบบสร้างสรรค์ - หาความคิดใหม่ที่หลากหลายด้วยการระดมสมอง - ทำของเก่าให้เป็นของใหม่
- สติปัญญา - ขยายขอบเขตปัญหาจากรูปธรรม นำไปสู่นามธรรม
- ความรู้ - ปรับสภาพแวดล้อมและเวลาทำให้เหมาะสมสำหรับการคิด
- รูปแบบการคิด - จับคู่ตรงข้าม เพื่อหักมุม สู่สิ่งใหม่ ๆ
- แรงจูงใจ - ใช้การเปรียบเทียบเพื่อกระตุ้นมุมมองใหม่ ๆ ความคิดใหม่ ๆ
- สภาพแวดล้อม - กลับสิ่งที่จะคิด ลองคิดในมุมตรงกันข้าม

การติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windown XP Professional Service Pack 3

1.Set Bios ให้ Boot เครื่องจาก CD ROM
2.Press and key=กดปุ่มใด ๆ ก็ได้เพื่อให้เริ่มการติดตั้ง Windown
3.Fomat Drive C: โดยกด D>Enter>L
4.สร้าง Drive C: ใหม่ โดยกด C>กำหนดพื้นที่ของความจำที่ Create Partition of Size (inMB)>Enter
5.ทำการติดตั้ง Windown ที่ Drive C: โดย Enter ที่ Drive C แล้วเลือก Fomat the partition using the NTFS filesysten (Quick)
6.พอถึงหน้าต่าง Windown XP Pofessional Setup ให้ทำการตั้งชื่อ และลบ Passwoad ออกทั้งหมด จากนั้น คลิกที่ Next
7.พอถึงหน้าต่าง Display Setting ให้กดปุ่ม OK
8.พอถึงหน้าต่าง Monitor Settings ให้กดปุ่ม Yes
9.พอถึงหน้าต่าง Help Windown XP Professional ให้คลิกที่ Notright Now
10.ให้คลิก Next>NextจนถึงFinish
11.จากนั้นเครื่องก็จะ Restart
12.จะเห็นว่ามี ไอคอน Recycle Bin ขึ้นมา เป็นอันว่าเสร็จการติดตั้งระบบปฏิบัติการ(เหลือแต่การการลง Software อื่นๆต่อไป)

การทำภาพสเก็ต


1. เปิดภาพที่เราต้องการทำภาพสเก็ต
2. หลังจากนั้นให้เรา Copy Layer ภาพที่เราเปิดขึ้นมาอีก 1 Layer
3. หลังจากนั้นให้เปลี่ยนภาพเป็นภาพขาวดำ Image > Adiustments > Desaturate (Shift+Ctrl+U)
4. หลังจากนั้นให้เรา Copy Layer ของภาพที่เป็นภาพขาวดำขึ้นมา 1 Layer
5. หลังจากนั้นให้เรา Invert ภาพ โดยเลือกที่เมนู Image > Adjustments > Invert (Ctrl + I)
6. หลังจากนั้นเปลี่ยนโหมดของภาพเป็น Color Dodge เข้าไปที่เมนู
7. หลังจากนั้นใส่ Effect Filter > Blur > Gaussian Blur ปรับภาพตามเราต้องการให้พอดูดี

การทำภาพวาด


1. เลือกรูปที่ต้องการล
2. Copy Background แล้วไปที่ Filter >Stylize <>
3. จากนั้นไปที่ Filter > Blur > Gaussian Blur
4. ปรับระดับตามความเหมาะสม

ภาพสามมิติ


1. เลือกรูปที่ต้องการ
2. ตัดภาพของเราที่ต้องการจะนำไปใส่ภาพ 3 มิติ
3. จากนั้นสร้างหน้ากระดาษขนาดตามที่ต้องการ
4. แล้วไปเลือกสีที่ต้อการจากนั้นไปที่ Filter > Render > Clouds
5. เลือก Filter > Stylize > Extrude เพื่อปรับภาพ 3 มิติ
6. แล้วนำภาพที่ตัดไว้าลากมาใส่
7. ตกแต่งให้สวยงาม

ภาพฟ้าผ่า


1. เลือกรูปที่ต้องกรา
2. สร้างหน้ากระดาษให้เป็น International Paper
3. ทำ Background ให้เป็น Layer 0
4. เปี่ยนจาก Nomal เป็น Screen
5. เลือก Gradient Tool เปลี่ยนสีให้เป็น ขาว-ดำ
6. ลางลงใน Paper ให้เป็นขาว-ดำ
7. จากนั้นไปที่ Filter > Render > Difference Clouds
8. กด Ctrl+L ปรัป Input Levels ให้เป็น 208 ถัดไปเป็น 0.40
9. กด Ctrl + I ให้เป็นรูปสายฟ้า ลากไปใส่รูปที่เราเลือกไว้
10. จากนั้นกด Ctrl + U เพื่อปรับสี คลิกที่ Colorize ปรับตกแต่งสีตามต้องการ

การทำภาพซ้อน


1. เลือกรูปที่ต้องการจะทำภาพซ้อน
2. ลากรูปที่ 2 มาซ้อนที่ Background เดียวกัน
3. จากนั้นไปที่ Layer > Layer Mask > Reveal All
4. แล้วไปที่เครื่องมือ Gradient Tool เลือกสีขาวดำ
5. แล้วลากเพื่อจะให้ภาพได้ซ้อนกันตามความต้องการ

วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เทคโนโลยี 3G










เทคโนโลยี 3G คืออะไร
3G คือ โทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่สาม หรือมาตรฐาน IMT-2000 นั้นนิยามสั้นๆ เพื่อให้เข้าใจตรงกันว่า
• “ต้องมี แพลทฟอร์ม (Platform) สำหรับการหลอมรวมของบริการต่างๆ อาทิ กิจการประจำที่ (Fixed Service) กิจการเคลื่อนที่ (Mobile Service) บริการสื่อสารเสียง ข้อมูล อินเทอร์เน็ต และ พหุสื่อ (Multimedia) เป็นไปในทิศทางเดียวกัน” คือ สามารถถ่ายเท ส่งต่อข้อมูล ดิจิตอล ไปยังอุปกรณ์โทรคมนาคมประเภทต่างๆ ให้สามารถรับส่งข้อมูลได้
• “ความสามารถในการใช้โครงข่ายทั่วโลก (Global Roaming) ” คือ ผู้บริโภคสามารถ ถืออุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ไปใช้ได้ทั่วโลก โดยไม่ต้องเปลี่ยนเครื่อง
• “บริการที่ไม่ขาดตอน (Seamless Delivery Service) ” คือ การใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่โดยไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยน เซลล์ไซต์ (Cell Site) เขาใช้คำว่า Seam less นั้นแปลว่า ไร้รอยตะเข็บนะครับ
• อัตราความเร็วในการส่งข้อมูล (Transmission Rate) ในมาตรฐาน IMT-2000 นั้นกำหนดไว้ว่าต้องมีอัตราความเร็วดังนี้ [

o ในสภาวะอยู่กับที่หรือขณะเดิน มีความเร็วอย่างน้อยที่สุด 2 เมกะบิต/วินาที
o ในสภาวะเคลื่อนที่โดยยานพาหนะ มีความเร็วอย่างน้อยที่สุด 384 กิโลบิต/วินาที
o ทุกสภาวะ มีความเร็วอย่างมากที่สุด 14.4 เมกะบิต/วินาที
จุดเริ่มต้นของเทคโนโลยี 3G
มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 3 (Third Generation Mobile Network หรือ 3G) เป็นเทคโนโลยียุคถัดมาจากการเปิดให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 2 หรือ 2G ซึ่งประสบความสำเร็จในการสร้างมูลค่าทางธุรกิจสื่อสารไร้สายอย่างมหาศาลนับ ตั้งแต่ พ.ศ. 2537 เป็นต้นมา ในยุคของโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G มีมาตรฐานที่สำคัญที่มีการนิยมใช้งานทั่วโลกอยู่ 2 มาตรฐาน กล่าวคือมาตรฐาน GSM (Global System for Mobile Communication) อันเป็นมาตรฐานของกลุ่มสหภาพยุโรป ปัจจุบันมีส่วนแบ่งทางการตลาดทั่วโลกสูงที่สุด และมาตรฐาน CDMA (Code Division Multiple Access) อันเป็นมาตรฐานจากสหรัฐอเมริกา มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับที่สอง
จุดมุ่งหมายของการพัฒนามาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G ขึ้น ก็เพื่อตอบสนองความต้องการใช้งานระบบสื่อสารไร้สายส่วนบุคคล (Personal Communication) ในลักษณะไร้พรมแดน (Global Communication) โดยเปิดโอกาสให้ผู้ใช้บริการสามารถนำเครื่องลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ไปใช้ งานในที่ใด ๆ ก็ได้ทั่วโลกที่มีการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ดังกล่าว และยังเป็นยุคของการนำมาตรฐานสื่อสารแบบดิจิตอลสมบูรณ์แบบมาใช้รักษาความ ปลอดภัย และเสริมประสิทธิภาพในการสื่อสารหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นบริการส่งข้อความแบบสั้น (Short Message Service หรือ SMS) และการเริ่มต้นของยุคสื่อสารข้อมูลผ่านเครื่องลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ เป็นครั้งแรก โดยมาตรฐาน GSM และ CDMA ตอบสนองความต้องการสื่อสารข้อมูลด้วยอัตราเร็วสูงสุด 9,600 บิตต่อวินาที ซึ่งถือว่าเพียงพอเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราเร็วของการสื่อสารผ่านโมเด็มใน เครือข่ายโทรศัพท์พื้นฐานเมื่อกว่าสิบปีก่อน
การตอบรับของกลุ่มผู้บริโภคบริการสื่อสารไร้สายทั่วโลก ทำให้มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G สร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการณ์ทั่วโลกอย่างมหาศาล ก่อให้เกิดการเปิดสัมปทานและนำมาซึ่งการแข่งขันอย่างรุนแรงในแทบทุกประเทศ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนอกจากจะมีผลทำให้เกิดการเพิ่มจำนวนของผู้ใช้บริการอย่าง ก้าวกระโดดแล้ว ในขณะเดียวกันยังสร้างผลกระทบต่อรายได้โดยเฉลี่ยต่อเลขหมาย (Average Revenue per User หรือ ARPU) ของผู้ให้บริการเครือข่าย อันเนื่องมาจากการกลยุทธ์การแข่งขันด้านราคา ยิ่งเมื่อมีการเปิดตัวบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบพร้อมใช้ (Prepaid Subscriber) ตั้งแต่ พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา ก็ทำให้เกิดการลดถอยของ ARPU ลงอย่างต่อเนื่อง พร้อม กับปัญหาผู้ใช้บริการย้ายค่าย (Brand Switching) ที่รุนแรงขึ้น
เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในตราสินค้าและยังเป็นการสร้างรายได้ เพิ่มเพื่อชดเชย ARPU ที่ลดต่ำลง เนื่องจากปรากฏการณ์อิ่มตัวของบริการสื่อสารด้วยเสียง (Voice Service) ผู้ประกอบการในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วโลกจึงมีความเห็นตรงกันที่จะ สร้างบริการสื่อสารไร้สายรูปแบบใหม่ ๆ ขึ้น โดยพัฒนาเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G ที่เปิดใช้งานอยู่ ให้มีศักยภาพเพิ่มเติมเพื่อรองรับบริการสื่อสารข้อมูลแบบที่มิใช่เสียง (Non-Voice Communication) พร้อมกับการวางแผนธุรกิจ แผนปฏิบัติการทางวิศวกรรม การตลาด และแผนการลงทุน เพื่อสร้างกระแสความต้องการ (Demand Aggregation) ให้กับฐานลูกค้าผู้ใช้บริการที่มีอยู่เดิม เพื่อเพิ่ม ARPU ให้สูงขึ้น พร้อม ๆ กับผลักดันให้เกิดบริการรูปแบบใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการรับส่งข้อมูลแบบ EMS (Enhanced Messaging Service) หรือ MMS (Multimedia Messaging Service) รวมถึงบริการท่องโลกอินเทอร์เน็ตไร้สายผ่านอุปกรณ์สื่อสารรุ่นใหม่ ๆ ซึ่งมีทั้งที่เป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่ว ๆ ไป อุปกรณ์ไร้สายประเภท PDA (Personal Digital Assistant) และโทรศัพท์เคลื่อนที่อัจฉริยะ (Smart Phone)
เพื่อเป็นการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G ที่ได้มีการลงทุนไว้แล้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด มาตรฐานเทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูลในรูปแบบใหม่ ๆ จึงถูกกำหนดขึ้น ภายใต้แนวคิดในการพัฒนาเครือข่ายเดิม ไม่ว่าจะเป็น

เทคโนโลยี HSCSD (High Speed Circuit Switching Data), GPRS (General Packet Radio Service) หรือ EDGE (Enhanced Data Rate for GPRS Evolution) ของค่าย GSM และเทคโนโลยี cdma20001xEV-DV หรือ cdma20001xEV-DO ของค่าย CDMA ดังแสดงพัฒนาการในรูปที่ 1 เรียกมาตรฐานต่อยอดดังกล่าวโดยรวมว่า เทคโนโลยียุค 2.5G/2.75G ซึ่งในช่วงเวลานี้เองที่ปรากฏมีมาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ PDC (Packet Digital Cellular) เปิดให้บริการสื่อสารข้อมูลในลักษณะของเทคโนโลยี 2.5G ภายใต้ชื่อเครื่องหมายการค้า i-mode ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากในการเปิดศักราชของการให้บริการสื่อสารข้อมูล แบบมัลติมีเดียไร้สายในประเทศญี่ปุ่น และได้กลายเป็นต้นแบบของการจัดทำธุรกิจ Non-Voice ให้กับผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วโลกในเวลาต่อมา
การเติบโตของธุรกิจ Non-Voice
ตั้งแต่ พ.ศ. 2543 เป็นต้นมาอันเป็นยุคเริ่มต้นของเทคโนโลยี 2.5G ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทย มีการผลักดันบริการสื่อสารข้อมูลรูปแบบใหม่ ๆ ในรูปแบบ Non-Voice เพื่อสร้างกระแสนิยมในกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้ประโยชน์จากเครือข่าย 2.5G อย่างเต็มรูปแบบ หรือเป็นการผลักดันให้เกิดการยอมรับในบริการที่มีอยู่แล้ว อันได้แก่บริการ SMS ซึ่งในปัจจุบันจะเห็นว่าบริการเหล่านี้ได้กลายเป็นช่องทางสำคัญที่เพิ่ม มูลค่าให้บริการ ARPU ของบรรดาผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ รูปที่ 2 แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของบริการประเภทต่าง ๆ บนเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ในภาพรวมของทั้งทวีปเอเชียตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 2544 จนถึง พ.ศ. 2553 ซึ่งในท้ายที่สุดบริการแบบ Non-Voice จะมีสัดส่วนที่เป็นนัยสำคัญต่อรายได้รวมทั้งหมด
สำหรับธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทยเอง นับตั้งแต่การเปิดให้บริการประเภท Non-Voice อย่างจริงจังเมื่อต้นปี พ.ศ. 2545 เป็นต้นมา บรรดาผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ก็สามารถสร้างรายได้เพื่อ เสริมทดแทนการลดทอนของค่า ARPU ภายในเครือข่ายของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการเปิดตัวบริการสื่อสารไร้สายมัลติมีเดียของ บริษัท ฮัทชิสัน ซีเอที ไวร์เลส มัลติมีเดีย จำกัด (HUTCH) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2546 เป็นต้นมา สภาพการแข่งขันในธุรกิจสื่อสารไร้สายในประเทศไทยก็เริ่มมุ่งความสำคัญในการ สร้างบริการ Non-Voice ใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดให้บริการ MMS อย่างเป็นทางการ การคิดโปรโมชั่นกระตุ้นการท่องอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือแม้กระทั่งการทดลองเปิดให้บริการชมภาพยนตร์ผ่านทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ (TV on Mobile) ซึ่งความพยายามของผู้ให้บริการเครือข่ายแต่ละราย ทำให้เกิดกระแสความสนใจใช้บริการ Non-Voice เพิ่มมากขึ้น
รูปที่ 3 และ 4 แสดงถึงความสำคัญของรายได้ที่เกิดขึ้นจากบริการ Non-Voice นับตั้งแต่ช่วงต้นปี พ.ศ. 2546 เป็นต้นมา อันมีผลทำให้บรรดาผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถเพิ่มค่า ARPU ของตนให้มีแนวโน้มสูงขึ้น พร้อม ๆ กับการเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการภายในเครือข่ายของตน ซึ่งแตกต่างจากสภาพการณ์ในช่วงก่อนหน้านี้ที่รายได้เฉลี่ยของตนตกลงเรื่อย ๆ สวนทางกับการเพิ่มจำนวนของกลุ่มผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงกลุ่มผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่พร้อมใช้ ซึ่งถือเป็นกลุ่มผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ของประเทศ มีการเพิ่มค่า ARPU ขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ส่วนหนึ่งจะมาจากนโยบายการตลาดของผู้ให้บริการที่มีการจำกัดเวลาในการโทร ให้สัมพันธ์กับวงเงินก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า ความนิยมในบริการ Non-Voice ประเภท SMS และ EMS โดยเฉพาะที่อยู่ในรูปแบบของบริการดาวน์โหลดรูปภาพ (Logo/Animation) และเสียงเรียกเข้า (Ringtone) ในกลุ่มวัยรุ่นและนักศึกษามีผลอย่างเป็นนัยสำคัญต่อการเพิ่มค่า ARPU ดังกล่าว
ข้อจำกัดของเครือข่าย 2.5G และ 2.75G
มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2.5G หรือ 2.75G แม้จะสามารถรองรับการสื่อสารประเภท Non-Voice ได้ แต่ก็ไม่อาจสร้างบริการประเภท Killer Application ที่ผลิกผันรูปแบบการให้บริการได้อย่างชัดเจน ดังจะเห็นได้จากสถาการณ์การให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทย ที่แม้จะมีการเติบโตอย่างชัดเจนในตลาดประเภท Non-Voice แต่เมื่อศึกษาอย่างละเอียดก็จะพบว่าบริการที่ประสบความสำเร็จเกือบทั้งหมด ล้วนเป็นบริการประเภท SMS และ EMS ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการดาวน์โหลดรูปภาพหรือเสียงเรียกเข้า รวมถึงการเล่นเกมส์ตอบปัญหาหรือส่งผลโหวตที่ปรากฏอยู่ตามสื่อชนิดต่าง ๆ ซึ่งบริการเหล่านี้ล้วนเป็นบริการพื้นฐานในเครือข่าย 2G
ข้อจำกัดของเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อน 2.5G และ 2.75G เกิดขึ้นมาจากความพยายามพัฒนาเครือข่าย 2G เดิม ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐาน GSM หรือ CDMA ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คุ้มค่าการลงทุน ทำให้ผู้ให้บริการเครือข่ายไม่อาจบริหารจัดการทรัพยากรเครือข่ายโทรศัพท์ เคลื่อนที่ได้อย่างคล่องตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ GSM ไม่ว่าจะเป็นย่านความถี่ 900 เมกะเฮิตรซ์ , 1800 เมกะเฮิตรซ์ หรือ 1900 เมกะเฮิตรซ์ เนื่องจากอุปกรณ์ที่มีการติดตั้งใช้งานมาตั้งแต่การเปิดให้บริการในยุค 2G ล้วนเป็นเทคโนโลยีเก่า มีการทำงานแบบ Time Division Multiple Access (TDMA) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเก่า ต้องจัดสรรวงจรให้กับผู้ใช้งานตายตัว ไม่สามารถนำทรัพยากรเครือข่ายมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีดังกล่าวเหมาะสำหรับการสื่อสารข้อมูลแบบ Voice ซึ่งต้องการคุณภาพและความคมชัดในการสนทนา
แม้เมื่อมีการพัฒนาเทคโนโลยี GPRS และ EDGE ซึ่งถือเป็นการเสริมเทคโนโลยีสื่อสารข้อมูลแบบแพ็กเกตสวิตชิ่ง (Packet Switching) ที่มีความยืดหยุ่นในการสื่อสารข้อมูลแบบ Non-Voice ในลักษณะเดียวกับที่พบในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตก็ตาม แต่เทคโนโลยีทั้ง 2 ประเภทนี้ก็ถือว่าเป็นการ ต่อยอด บนเครือข่ายแบบเดิมที่มีการทำงานแบบ TDMA ทำให้ผู้ให้บริการเครือข่ายต้องพะวงกับการจัดสรรทรัพยากรช่องสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการจัดสรรวงจรสื่อสารผ่านคลื่นความถี่วิทยุจากสถานีฐาน ไปยังเครื่องลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ทำให้ไม่สามารถเปิดให้บริการแบบ

Non-Voice ได้อย่างเต็มรูปแบบ เนื่องจากจะทำให้เกิดผลรบกวนต่อจำนวนวงจรสื่อสารแบบ Voice มากจนเกินไป
ด้วยเหตุดังกล่าว จึงพบว่าไม่มีผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2.5G หรือ 2.75G รายใดในโลก สามารถเปิดให้บริการเทคโนโลยี GPRS ด้วยอัตราเร็วสูงสุด 171 กิโลบิตต่อวินาที หรือ EDGE ด้วยอัตราเร็ว 384 กิโลบิตต่อวินาทีได้ เนื่องจากการทำเช่นนั้นจะทำให้สถานีฐาน (Base Station) ที่ทำหน้าที่รับส่งสัญญาณกับเครื่องลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ไม่มีวงจรสื่อสารเหลือสำหรับให้บริการแบบ Voice อีกต่อไป ผลที่เกิดขึ้นในมุมมองของผู้ใช้บริการก็คือความเชื่องช้าในการสื่อสารข้อมูล ผ่านเครือข่าย 2.5G และ 2.75G ทำให้หมดความสนใจที่จะใช้บริการต่อไป โดยในขณะเดียวกันก็มีบริการสื่อสารอัตราเร็วสูงแบบบรอดแบนด์ผ่านคู่สาย เช่น DSL (Digital Subscriber Line) เป็นทางเลือกสำหรับใช้บริการ ความสนใจที่จะใช้เครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อรับส่งข้อมูลจึงมีอยู่ เฉพาะการเล่นเกมส์และส่ง SMS, MMS ซึ่งทำได้ง่าย และมีการประชาสัมพันธ์ดึงดูดใจมากมาย
มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G
เพื่อเป็นการเพิ่มความคล่องตัวในการเปิดให้บริการ Non-Voice อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมทั้งยังคงรักษาคุณภาพในการให้บริการ Voice ด้วยระดับคุณภาพที่ทัดเทียมหรือดีกว่าในยุค 2G องค์กรสากล 3GPP (Third Generation Program Partnership) และ 3GPP2 จึงได้กำหนดมาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G ขึ้น โดยมีมาตรฐานสำคัญอยู่ 2 ประเภท คือ
มาตรฐาน UMTS (Universal Mobile Telecommunications Services) เป็นมาตรฐานที่ออกแบบมาสำหรับผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้นำ ไปพัฒนาจากยุค 2G/2.5G/2.75G ไปสู่มาตรฐานยุค 3G อย่างเต็มตัว รับผิดชอบการพัฒนามาตรฐานโดยองค์กร 3GPP มีเทคโนโลยีหลักที่ปัจจุบันมีการยอมรับใช้งานทั่วโลกคือมาตรฐาน Wideband Code Division Multiple Access (W-CDMA) โดยในอนาคตจะมีการพัฒนาต่อเนื่องไปสู่มาตรฐาน HSDPA (High Speed Downlink Packet Access) ซึ่งรองรับการสื่อสารด้วยอัตราเร็วสูงถึง 14 เมกะบิตต่อวินาที หรือเร็วกว่าการสื่อสารแบบ 2.75G ถึง 36 เท่า มาตรฐาน W-CDMA นี้เองที่กิจการร่วมค้า ไทย - โมบาย กำลังจะดำเนินการพัฒนาเพื่อเปิดให้บริการภายในต้นปี พ.ศ. 2548 นอกจากจะเป็นเส้นทางในการพัฒนาสู่มาตรฐาน 3G ของบรรดาผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ GSM แล้ว มาตรฐาน W-CDMA ยังได้รับการยอมรับจากผู้ให้บริการรายใหญ่อย่างบริษัท NTT DoCoMo ผู้เปิดให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ I-mode ซึ่งใช้เทคโนโลยี PDC ให้เป็นมาตรฐาน 3G สำหรับใช้งานภายใต้เครื่องหมายการค่า “FOMA” โดยได้เปิดให้บริการในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2544 เป็นต้นมา และปัจจุบัน W-CDMA ได้กลายเป็นเครือข่าย 3G ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น มาตรฐาน cdma2000 เป็นการพัฒนาเครือข่าย CDMA ให้รองรับการสื่อสารในยุค 3G รับผิดชอบการพัฒนามาตรฐานโดยองค์กร 3GPP2 มีเทคโนโลยีหลักคือ cdma2000-3xRTT ที่มีศักยภาพเทียบเท่ากับมาตรฐาน W-CDMA ของค่ายยุโรป แต่ปัจจุบันยังไม่มีกำหนดความพร้อมสำหรับให้บริการเชิงพาณิชย์ที่ชัดเจน สำหรับในประเทศไทย บริษัท ฮัทชิสัน ซีเอที ไวร์เลส มัลติมีเดีย จำกัด เปิดให้บริการเฉพาะเครือข่าย cdma20001xEV-DO ซึ่งยังมีขีดความสามารถเทียบเท่าเครือข่าย 2.75G เท่านั้น
มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ W-CDMA ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้รองรับการสื่อสารแบบมัลติมีเดียสมบูรณ์แบบ โดยเปลี่ยนแปลงรูปแบบการสื่อสารชนิด TDMA ที่ปรากฏอยู่ในเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุค 2G/2.5G/2.75G ไปเป็นการสื่อสารแบบแพ็กเกตสวิทชิ่งเต็มรูปแบบ สามารถรองรับทั้งการสื่อสารทั้ง Voice และ Non-Voice โดยมีมาตรฐานการรองรับและควบคุมคุณภาพของข้อมูลที่สมบูรณ์แบบ อันเป็นผลต่อเนื่องมาจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการเข้ารหัสข้อมูล (Information Coding) จึงทำให้ผู้ให้บริการเครือข่าย 3G ก้าวพ้นจากข้อจำกัดในการบริหารจัดการข้อมูลประเภท Voice และ Non-Voice ดังที่ปรากฏอยู่ในมาตรฐาน 2G/2.5G/2.75G ได้อย่างเด็ดขาด
อย่างไรก็ตามเพื่อให้เครือข่าย W-CDMA สามารถรองรับการสื่อสารข้อมูลได้อย่างเต็มรูปแบบ และให้เกิดความคล่องตัวในการจัดสรรทรัพยากรความถี่วิทยุ จึงจำเป็นต้องมีการกำหนดย่านความถี่สำหรับใช้เปิดให้บริการ โดยเป็นไปตามแผนผังการจัดวางความถี่สากลทั่วโลกดังแสดงในรูปที่ 5 ด้วยเหตุดังกล่าวจึงทำให้ กิจการร่วมค้าไทย - โมบาย เป็นเพียงผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายเดียวในประเทศไทยที่สามารถเปิด ให้บริการเครือข่าย 3G แบบ W-CDMA ได้ในทันที เนื่องจากมีสิทธิ์ใช้คลื่นความถี่วิทยุในย่าน 1965 – 1980 เมกะเฮิตรซ์ และ 2155 – 2170 เมกะเฮิตรซ์ ขณะที่ผู้ให้บริการเครือข่ายรายอื่น ๆ จำเป็นต้องยื่นคำร้องผ่านกระบวนการจัดสรรคลื่นความถี่วิทยุโดยคณะกรรมการ กิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์แห่งชาติ (กสช.) ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกหลายปีเพื่อได้สิทธิ์ในการเปิดให้บริการ W-CDMA เป็นรายต่อไป
จุดเด่นของมาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G แบบ W-CDMA
นอกจากมาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G จะมีการพัฒนาเทคโนโลยีสถานีฐาน (Base Station Subsystem) จากยุค 2G ซึ่งใช้เทคโนโลยี TDMA เป็นการรับส่งข้อมูลในรูปแบบแพ็กเกตเพื่อความคล่องตัวในการจัดสรรทรัพยากร ความถี่สำหรับให้บริการทั้งแบบ Voice และ Non-Voice อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด อันจะช่วยสร้างความรู้สึกให้กับผู้ใช้บริการ (End User Perception) ถึงความรวดเร็วในการสื่อสารข้อมูล และยังคงรักษาคุณภาพของการสนทนาที่เหนือกว่ามาตรฐาน 2G/2.5G/2.75G แล้ว มาตรฐาน W-CDMA ยังมีความคล่องตัวในการเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายข้อมูลที่อยู่ในโลกอิน เทอร์เน็ต เนื่องจากมาตรฐานการเชื่อมต่อต่าง ๆ สอดรับกับมาตรฐานของอุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ตทุกประการ ก่อให้เกิดการเปิดกว้างในรูปแบบของความร่วมมือกับพันธมิตรจำนวนมาก มีความคล่องตัวใน

การบันทึก จัดเก็บ และบริหารจัดการข้อมูลประเภทสื่อข้อมูล (Content) ต่าง ๆ
เมื่อทำการเปรียบเทียบเฉพาะด้านของอัตราเร็วในการสื่อสารข้อมูลดังแสดงใน รูปที่ 6 จะเห็นว่ามาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G นอกจากจะรองรับการสื่อสารข้อมูลที่รวดเร็วกว่ามาตรฐาน 2G/2.5G/2.75G แล้ว ยังก่อให้เกิดการถือกำเนิดของบริการรูปแบบใหม่ ๆ ที่ไม่สามารถสร้างขึ้นบนเครือข่ายยุคในตระกูล 2G/2.5G/2.75G ได้ ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือบริการ Video Telephony และ Video Conference ซึ่งเป็นการสื่อสารแบบเห็นหน้ากัน โดยเครือข่าย 3G จะทำการถ่ายทอดสดทั้งภาพและเสียงระหว่างคู่สนทนา โดยไม่เกิดความหน่วงหรือล่าช้าของข้อมูล บริการในลักษณะนี้จะกลายเป็น จุดขาย สำคัญประการหนึ่งของมาตรฐานการสื่อสารแบบ 3G ทั้งนี้เครื่องลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G ที่มีจำหน่ายในปัจจุบัน ล้วนรองรับบริการ Video Telephony แล้วทั้งสิ้น จึงสามารถเปิดให้บริการดังกล่าวได้ในทันที
ข้อมูลจาก UMTS Forum ในรูปที่ 7 แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของจำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G แบบ W-CDMA เปรียบเทียบกับมาตรฐาน GSM โดยพิจารณาอัตราการเติบโตภายในช่วง 10 ไตรมาสแรก (2 ปีครึ่ง) หลังจากการเปิดให้บริการ GSM ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2535 เทียบกับ 10 ไตรมาสแรกหลังจากการเปิดให้บริการ W-CDMA ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2544 พบว่าเครือข่าย 3G แบบ W-CDMA มีอัตราการเติบโตที่สูงกว่ามาก มูลเหตุสำคัญมาจากแรงผลักดัน (Business Momentum) ที่ผู้ใช้บริการ 2.5G หรือ 2.75G รอคอยเครือข่ายสื่อสารไร้สายที่สามารถตอบสนองความต้องการในการสื่อสารข้อมูล ด้วยอัตราเร็วสูงอย่างแท้จริง อีกทั้งผู้ให้บริการเครือข่ายยังมีความคล่องตัวในการจัดสรรเครือข่ายในด้าน ต่าง ๆ เพื่อสร้างบริการสื่อสารประเภท Non-Voice ที่ต้องพึ่งพาอัตราเร็วในการสื่อสารข้อมูลที่สูงขึ้น นอกเหนือจากบริการ Non-Voice พื้นฐานอย่าง SMS และ EMS
กล่าวโดยสรุป ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้มาตรฐานเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G แบบ W-CDMA มีแนวโน้มของการประสบความสำเร็จทางธุรกิจที่รวดเร็วกว่ามาตรฐาน 2G จนถึง 2.75G นั้น สืบเนื่องมาจากการปฏิวัติรูปแบบของเทคโนโลยีเครือข่าย เพื่อตอบสนองรูปแบบการสร้างความร่วมมือทางธุรกิจให้ผลักดันบริการ Non-Voice อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งนี้ UMTS Forum ได้กล่าวถึงจุดเด่นของมาตรฐาน W-CDMA ซึ่งจะนำความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจให้กับผู้ประกอบการดังนี้ (เอกสาร Why the world has chosen W-CDMA : 24 September 2003)
1. เครือข่าย W-CDMA รับประกันคุณภาพในการรองรับข้อมูลแบบ Voice และ Non-Voice ในแง่ของผู้ใช้บริการจะรับรู้ได้ว่าคุณภาพเสียงจากการใช้งานเครือข่าย 3G ชัดเจนกว่าหรืออย่างน้อยเทียบเท่าการสนทนาผ่านเครือข่าย 2G ส่วนการรับส่งข้อมูลแบบ Non-Voice จะรับรู้ถึงอัตราเร็วในการสื่อสารที่สูงกว่าการใช้งานผ่านเครือข่าย 2.5G และ 2.75G มาก อันเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีเครือข่าย และใช้ย่านความถี่ที่สูงขึ้น
2. W-CDMA เป็นมาตรฐานเปิด (Open Standard) ซึ่งได้รับการพัฒนาโดยกลุ่ม 3GPP ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับผู้พัฒนามาตรฐาน GSM ทำให้ผู้ให้บริการ 3G สามารถเชื่อมต่อเครือข่าย 3G เข้าหากันได้ถึงขั้นอนุญาตให้มีการใช้งานข้ามเครือข่าย (Roaming) เช่นเดียวกับที่เป็นอยู่ในเครือข่ายยุค 2G นอกจากนั้นยังสามารถเชื่อมต่อเพื่อการใช้งานข้ามเครือข่ายกับมาตรฐาน 2G/2.5G/2.75G ได้ในทันที โดยผู้ใช้บริการเพียงมีอุปกรณ์สื่อสารแบบ Dual Mode เท่านั้น ทำให้เกิดลู่ทางในการสร้างเครือข่าย W-CDMA เพื่อเปิดให้ผู้ประกอบการเครือข่ายรายอื่นได้ร่วมเข้าใช้บริการ ในลักษณะของ Mobile Virtual Network Operator (MVNO) เป็นรายได้ที่สำคัญนอกเหนือจากการให้บริการ 3G กับผู้ใช้บริการที่จดทะเบียนภายในเครือข่าย
3. มาตรฐาน W-CDMA เป็นมาตรฐานโลก ที่จะเข้ามาแทนที่เครือข่ายในตระกูล GSM เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เครือข่าย GSM เข้ามาแทนที่เครือข่าย 1G เมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว จึงเป็นการรับประกันถึงพัฒนาการที่มีอย่างต่อเนื่องในด้านต่าง ๆ การเร่งเปิดให้บริการ 3G จึงเปรียบได้กับการเร่งเข้าสู่ตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G ของผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ยักษ์ใหญ่ในปัจจุบันที่เกิดขึ้น ในอดีต
4. พิจารณาเฉพาะการให้บริการแบบ Voice จะเห็นว่าการลงทุนสร้างเครือข่าย W-CDMA มีต้นทุนที่ต่ำกว่าการสร้างเครือข่าย GSM ถึงกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากมาตรฐาน W-CDMA มีความยืดหยุ่นและคล่องตัวให้ผู้ประกอบสามารถปรับเปลี่ยนทรัพยากรความถี่ เพื่อรองรับ Voice และ Non-Voice ได้อย่างผสมผสาน ต่างจากการกำหนดทรัพยากรตายตัวในกรณีของเทคโนโลยี GSM
5. W-CDMA เป็นมาตรฐานสื่อสารไร้สายชนิดเดียวที่มีรูปแบบการทำงานแบบแถบความถี่กว้าง (Wideband) อันนำมาซึ่งประสิทธิภาพในการสร้างพื้นที่ให้บริการที่กว้างใหญ่ ไปพร้อม ๆ กับความสะดวกในการเพิ่มขยายขีดความสามารถในการรองรับข้อมูลข่าวสาร ต่างจากเครือข่าย 2G โดยทั่วไปที่ปัจจุบันเริ่มประสบกับปัญหาการจัดสรรความถี่ที่ไม่เพียงพอต่อ การขยายเครือข่าย เนื่องจากเป็นระบบแบบแถบความถี่แคบ (Narrow Band)
6. กลไกการทำงานภายในเครือข่าย W-CDMA เป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยเฉพาะมาตรฐาน IETF (Internet Engineering Task Force) ทำให้ผู้ประกอบการสามารถเปิดโอกาสให้พันธมิตรทางธุรกิจซึ่งมีความเชี่ยวชาญ ในการพัฒนาโปรแกรมหรือบริการพิเศษต่าง ๆ บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ได้ทำการพัฒนาสร้างบริการผ่านอุปกรณ์สื่อสารไร้สาย โดยใช้ทักษะความสามารถและความชำนาญที่มีอยู่ เป็นการกระตุ้นให้เกิดบริการประเภท Non-Voice ได้สารพัดรูปแบบ
7. มีแนวทางในการพัฒนาขีดความสามารถในรองรับการสื่อสารข้อมูลที่มีอัตราเร็วสูง ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสู่
มาตรฐาน HSDPA ที่รองรับการสื่อสารข้อมูลด้วยอัตราเร็วที่สูงมากถึง 14 เมกะบิตต่อวินาที ในขณะที่มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ GSM ไม่สามารถพัฒนาให้รองรับการสื่อสารข้อมูลได้มากกว่าเทคโนโลยี EDGE ในปัจจุบัน ซึ่งรองรับข้อมูลได้ด้วยอัตราเร็ว 384 กิโลบิตต่อวินาที และในความเป็นจริงก็ไม่สามารถเปิดให้บริการด้วยอัตราเร็วถึงระดับดังกล่าว ได้ เนื่องจากจะทำให้สถานีไม่สามารถรองรับบริการ Voice ได้อีกต่อไป
8. ในอนาคตมาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G มีทิศทางการพัฒนาที่ชัดเจนในการรวมตัวกับมาตรฐานสื่อสารไร้สายชนิดอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐาน Wireless LAN (IEEE802.11b/g) หรือ WiMAX (IEEE802.16d/e/e+) ทำให้ผู้ใช้บริการเครือข่ายไร้สายสามารถเคลื่อนย้ายไปใช้งานในเครือข่ายใด ๆ ก็ได้ตามความเหมาะสมทางภูมิประเทศ โดยยังคงได้รับการดูแลโดยผู้ให้บริการเครือข่าย 3G
ความสำคัญต่าง ๆ เหล่านี้เองที่เป็นแรงผลักดันให้ผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ GSM จำนวนมากทั่วโลก รวมนักลงทุนหน้าใหม่ ให้ความสำคัญสำหรับการแสวงหาสิทธิ์ในการเปิดให้บริการเครือข่าย 3G และมีแผนกำหนดเปิดให้บริการเทคโนโลยี W-CDMA ดังมีข้อมูลแสดงในรูปที่ 8 โดยเฉพาะยักษ์ใหญ่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่อันดับต้น ๆ ของโลก 8 รายได้ตัดสินใจเลือกมาตรฐาน W-CDMA เป็นเทคโนโลยี 3G ดังแสดงในรูปที่ 9
ในท้ายที่สุด ความสมบูรณ์แบบในการรองรับธุรกิจ Non-Voice ของมาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G แบบ W-CDMA จะช่วยผลักดันให้เกิดห่วงโซ่ธุรกิจที่สมบูรณ์แบบ ดังแสดงในรูปที่ 10 แม้จะมีความพยายามในกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจโทรคมนาคมภายในประเทศที่จะผลัก ดันให้เกิดการประสานผลประโยชน์อย่างลงตัวระหว่างผู้ให้บริการเครือข่าย โทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G/2.5G/2.75G กับผู้ประกอบการสื่อข้อมูลต่าง ๆ มาก่อนหน้านี้ แต่เนื่องจากข้อจำกัดของเครือข่ายในตระกูล GSM และ CDMA เองที่ไม่มีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะสร้างความประทับใจต่อผู้ใช้บริการ จึงทำให้เกิดการขาดช่วงของความสมดุลในการผสานผลประโยชน์ เมื่อพิจารณาจากความสำเร็จของเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ FOMA ของบริษัท NTT DoCoMo ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรายแรกที่เปิดให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G แบบ W-CDMA และประสบความสำเร็จในการดึงศักยภาพของเครือข่าย W-CDMA ให้เกื้อหนุนต่อความลงตัวสำหรับการร่วมมือในธุรกิจ Non-Voice ในประเทศญี่ปุ่นอย่างงดงาม ต่อเนื่องด้วยความคืบหน้าในการสานต่อโครงสร้างธุรกิจ Non-Voice ในประเทศจีนและอีกหลาย ๆ ประเทศ จึงสรุปได้ว่ามาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G แบบ W-CDMA จะเป็นการเปิดประตูสู่ธุรกิจ Non-Voice ในประเทศไทยในอนาคตอันใกล้

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

คุณธรรม-จริยธรรมในการใช้คอมพิวเตอร์

คุณธรรม-จริยธรรมในการใช้คอมพิวเตอร์

1.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่น
2.ไม่รบกวนจนงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
3.ไม่แอบดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อลักขโมย
5.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเป็นพยานเท็จ
6.ไม่ใช้หรือทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ซื้อสิทธิ์
7.ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
8.ไม่ฉวยเอาทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่นมาเป็นของตน
9.คิดถึงผลต่อเนื่องทางสังคมของโปรแกรมที่เขียน
10.ใช้คอมพิวเตอร์ในทางที่แสดงถึงความใคร่ครวญและเคารพ จรรยาวิชาชีพ ของสมาคมเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์
11.การเข้าไปดูข้อความในจดหมายอิเล็กทรอนิกส์และการบันทึกข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ รวมทั้งการบันทึก-แลกเปลี่ยนข้อมูลที่บุคคลเข้าไปใช้บริการเว็บไซต์และกลุ่มข่าวสาร
12.การใช้เทคโนโลยีในการติดตามความเคลื่อนไหวหรือพฤติกรรมของบุคคล เช่น บริษัทใช้คอมพิวเตอร์ในการตรวจจับหรือเฝ้าดูการปฏิบัติงาน/การใช้บริการของพนักงาน ถึงแม้ว่าจะเป็นการติดตามการทำงานเพื่อการพัฒนาคุณภาพการใช้บริการ แต่กิจกรรมหลายอย่างของพนักงานก็ถูกเฝ้าดูด้วย พนักงานสูญเสียความเป็นส่วนตัว ซึ่งการกระทำเช่นนี้ถือเป็นการผิดจริยธรรม
13.การใช้ข้อมูลของลูกค้าจากแหล่งต่างๆ เพื่อผลประโยชน์ในการขยายตลาด
14.การรวบรวมหมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่อีเมล์ หมายเลขบัตรเครดิต และข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ เพื่อนำไปสร้างฐานข้อมูลประวัติลูกค้าขึ้นมาใหม่ แล้วนำไปขายให้กับบริษัทอื่น ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและสารสนเทศ จึงควรจะต้องระวังการให้ข้อมูล โดยเฉพาะการใช้อินเตอร์เน็ตที่มีการใช้โปรโมชั่น หรือระบุให้มีการลงทะเบียนก่อนเข้าใช้บริการ เช่น ข้อมูลบัตรเครดิต และที่อยู่อีเมล์ความถูกต้อง (Information Accuracy)
15.ไม่โหลดรูปภาพลามกไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์หรือข้อมูลที่ไม่จำเป็น

อ้างอิง:ได้มาจาก
http://server.thaigoodview.com/node/33811?page=0%2C3
http://sw07002.blogspot.com/2009/02/blog-post.html
http://www.jariyatam.com/th/ethics-of-using-computer
http://learners.in.th/blog/pinkpanter/66452

คำนิยามคำว่า เว็บ และ เว็บเซอร์วิส

เวิลด์ไวด์เว็บ (อังกฤษ: World Wide Web, WWW, W3 ; หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า "เว็บ") คือพื้นที่ที่เก็บข้อมูลข่าวสารที่เชื่อมต่อกันทางอินเทอร์เน็ต โดยการกำหนด URL คำว่าเวิลด์ไวด์เว็บมักจะใช้สับสนกับคำว่า อินเทอร์เน็ต โดยจริงๆแล้วเวิลด์ไวด์เว็บเป็นเพียงแค่บริการหนึ่งบนอินเทอร์เน็ต
เว็บเซอร์วิส (Web service) คือระบบซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมา เพื่อสนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านระบบเครือข่าย โดยที่ภาษาที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ คือเอกซ์เอ็มแอล เว็บเซอร์วิสมีอินเทอร์เฟส ที่ใช้อธิบายรูปแบบข้อมูลที่เครื่องคอมพิวเตอร์ประมวลผลได้ เช่น WSDL ระบบคอมพิวเตอร์ใช้งานสื่อสารโต้ตอบกับเว็บเซอร์วิสตามรูปแบบที่ได้กำหนดไว้แล้ว โดยการส่งสาสน์ตามอินเตอร์เฟสของเว็บเซอร์วิสนั้น โดยที่สาสน์ดังกล่าวอาจแนบไว้ในซอง SOAP หรือส่งตามอินเตอร์เฟสในแนวทางของ REST สาสน์เหล่านี้ปกติแล้วถูกส่งโดยอาศัย HTTP และใช้ XML ร่วมกับมาตรฐานเกี่ยวกับเว็บอื่นๆ โปรแกรมประยุกต์ที่เขียนโดยภาษาต่างๆ และทำงานบนแพลตฟอร์มต่างๆกันสามารถใช้เว็บเซอร์วิสเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เช่น อินเทอร์เน็ต ในลักษณะเดียวกับการสื่อสารระหว่างโปรเซส (Inter-process communication) บนเครื่องเดียวกัน ความสามารถในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบที่ต่างกันนี้ (เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่าง โปรแกรมที่เขียนโดยภาษาจาวา และโปรแกรมที่เขียนโดยภาษาไพทอน หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างโปรแกรมประยุกต์ที่ทำงานบนไมโครซอฟท์วินโดวส์และโปรแกรมประยุกต์ที่ทำงานบนลินุกซ์) เกิดขึ้นได้เนื่องจากการใช้มาตรฐานเปิด โดย OASIS และ W3C เป็นคณะกรรมการหลักในการรับผิดชอบมาตรฐานและสถาปัตยกรรมของเว็บเซอร์วิส
เว็บเซอร์วิส (Web Services) เป็นการ "บริการ" ที่เป็นระบบซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนการทำงาน ระหว่างคอมพิวเตอร์กับคอมพิวเตอร์ผ่านระบบเครือข่าย โดยที่ภาษาที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ คือภาษาเอ็กซ์เอ็มแอล (XML) ตัวอย่างเช่น การบริการในการเช็คราคาหุ้นของตลาดหุ้นหลาย ๆ ที่และอ่านข่าวจากแหล่งข่าว ๆ หลายที่โดยให้เฉพาะข่าวของบริษัทที่ผู้ขอใช้บริการสนใจ ผู้ให้บริการเว็บเซอร์วิสหนึ่งอาจจะเป็นผู้ขอบริการเว็บเซอร์วิสอื่น ยกตัวอย่างเช่น เว็บเซอร์วิสที่ให้บริการข้อมูลก่อนการซื้อขายหุ้น อาจจะเป็นผู้ขอใช้บริการของเว็บเซอร์วิสที่ให้บริการการให้ข่าว
ความสามารถของเว็บเซอร์วิสที่ทำให้โปรแกรมคุยกับโปรแกรมได้นั้น เป็นจุดแข็งของเว็บเซอร์วิส ที่สามารถจะเชื่อมบริการหลายๆอันเข้าด้วยกัน แนวความคิดนี้ได้ถูกนำมาวางแผนและนำเสนอมาตรฐานที่จะทำให้เว็บเซอร์วิส ติดต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่น การใช้เอกสารภาษา WSDL (Web Services Description Language) ซึ่งเป็นภาษา XML ประเภทหนึ่ง WSDL (Web Services Description Language) ที่มาอธิบายการเรียกใช้เว็บเซอร์วิสซึ่งเปรียบเสมือนการอ่านคู่มือการใช้งานโปรแกรมนั่นเอง แต่ทว่ามีข้อแตกต่างกันตรงที่ไม่เฉพาะมนุษย์เท่านั้นที่สามารถเข้าใจคู่มือนั่น โปรแกรมที่สามารถอ่านเอกสารภาษา XML เข้าใจสามารถที่จะเข้าใจเอกสาร WSDL ได้เช่นกัน ซึ่งจากคุณสมบัตินี้ช่วยทำให้การเรียกใช้เว็บเซอร์วิสเป็นไปได้อย่างอัตโนมัติ
นอกจาก XML จะถูกใช้ในการเป็นภาษาในการอธิบายการเรียกใช้เว็บเซอร์วิสแล้ว XML ยังเป็นภาษาที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลระหว่างผู้ให้บริการและผู้ขอใช้การบริการเว็บเซอร์วิส รูปแบบของข้อมูล XML ที่ใช้ในการติดต่อนี้เรียกว่าSOAP (Simple Object Access Protocol) เนื่องจากข้อมูลที่ติดต่ออยู่ในรูปแบบ XML ทำให้โปรแกรมต่าง ๆ สามารถติดต่อกันได้ ถึงแม้ว่าอาจจะถูกพัฒนาและเรียกใช้บนแพลตฟอร์มที่แตกต่างกัน หรือใช้ภาษาที่แตกต่างกันในการพัฒนา ทั้งนี้เนื่องจาก XML เป็นภาษาอักขระ (text) ซึ่งระบบปฎิบัติการทุกระบบสามารถเข้าใจ นอกจากนี้การที่ XMLมีแท๊ก (tag) และรูปแบบโครงสร้างที่อธิบายข้อมูลด้วยตัวมันเอง ทำให้การเข้าใจและการจัดการข้อมูล SOAP messages นั้นสามารถทำได้โดยโปรแกรมและช่วยทำให้การติดต่อระหว่าง ผู้ให้บริการและผู้ใช้เว็บเซอร์วิสเป็นไปได้อย่างอัตโนมัติ"

ได้มาจาก: http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%AA
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B9%87%E0%B8%9A
สรุปเป็นความคิดของนักศึกษาได้ดังนี้
คำว่า เวิลด์ไวด์เว็บ หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า "เว็บ") คือพื้นที่ที่เก็บข้อมูลข่าวสารที่เชื่อมต่อกันทางอินเทอร์เน็ต โดยการกำหนด URL คำว่าเวิลด์ไวด์เว็บมักจะใช้สับสนกับคำว่า อินเทอร์เน็ต โดยจริงๆแล้วเวิลด์ไวด์เว็บเป็นเพียงแค่บริการหนึ่งบนอินเทอร์เน็ต
ส่วนคำว่า เว็บเซอร์วิส คือระบบซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมา เพื่อสนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านระบบเครือข่าย โดยที่ภาษาที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ คือเอกซ์เอ็มแอล

วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Web Design And Development

Web design is the skill of creating presentations of content (usually hypertext or hypermedia) that is delivered to an end-user through the World Wide Web, by way of a Web browser or other Web-enabled software like Internet television clients, microblogging clients and RSS readers.
The intent of web design[1] is to create a web site—a collection of electronic documents and applications that reside on a web server/servers and present content and interactive features/interfaces to the end user in form of Web pages once requested. Such elements as text, bit-mapped images (GIFs, JPEGs) and forms can be placed on the page using HTML/XHTML/XML tags. Displaying more complex media (vector graphics, animations, videos, sounds) requires plug-ins such as Adobe Flash, QuickTime, Java run-time environment, etc. Plug-ins are also embedded into web page by using HTML/XHTML tags.
Improvements in browsers' compliance with W3C standards prompted a widespread acceptance and usage of XHTML/XML in conjunction with Cascading Style Sheets (CSS) to position and manipulate web page elements and objects. Latest standards and proposals aim at leading to browsers' ability to deliver a wide variety of content and accessibility options to the client possibly without employing plug-ins.
Typically web pages are classified as static or dynamic:
Static pages don’t change content and layout with every request unless a human (web master/programmer) manually updates the page. A simple HTML page is an example of static content.
Dynamic pages adapt their content and/or appearance depending on end-user’s input/interaction or changes in the computing environment (user, time, database modifications, etc.) Content can be changed on the client side (end-user's computer) by using client-side scripting languages (JavaScript, JScript, Actionscript, etc.) to alter DOM elements (DHTML). Dynamic content is often compiled on the server utilizing server-side scripting languages (Perl, PHP, ASP, JSP, ColdFusion, etc.). Both approaches are usually used in complex applications.
With growing specialization in the information technology field there is a strong tendency to draw a clear line between web design and web development.
Web design is a kind of graphic design intended for development and styling of objects of the Internet's information environment to provide them with high-end consumer features and aesthetic qualities. The offered definition separates web design from web programming, emphasizing the functional features of a web site, as well as positioning web design as a kind of graphic design.[2]
The process of designing web pages, web sites, web applications or multimedia for the Web may utilize multiple disciplines, such as animation, authoring, communication design, corporate identity, graphic design, human-computer interaction, information architecture, interaction design, marketing, photography, search engine optimization and typography.
Markup languages (such as HTML, XHTML and XML)
Style sheet languages (such as CSS and XSL)
Client-side scripting (such as JavaScript)
Server-side scripting (such as PHP and ASP)
Database technologies (such as MySQL and PostgreSQL)
Multimedia technologies (such as Flash and Silverlight)
Web pages and web sites can be static pages, or can be programmed to be dynamic pages that automatically adapt content or visual appearance depending on a variety of factors, such as input from the end-user, input from the Webmaster or changes in the computing environment (such as the site's associated database having been modified).
With growing specialization within communication design and information technology fields, there is a strong tendency to draw a clear line between web design specifically for web pages and web development for the overall logistics of all web-based services.
Web development is a broad term for the work involved in developing a web site for the Internet (World Wide Web) or an intranet (a private network) . This can include web design, web content development, client liaison, client-side/server-side scripting, web server and network security configuration, and e-commerce development. However, among web professionals, "web development" usually refers to the main non-design aspects of building web sites: writing markup and coding. Web development can range from developing the simplest static single page of plain text to the most complex web-based internet applications, electronic businesses, or social network services.
For larger businesses and organizations, web development teams can consist of hundreds of people (web developers). Smaller organizations may only require a single permanent or contracting webmaster, or secondary assignment to related job positions such as a graphic designer and/or Information systems technician. Web development may be a collaborative effort between departments rather than the domain of a designated department.

Web Design And Development

A website is an online identity of a company or of an individual involved in Internet Marketing. The task associated with the website is to represent a company sell company’s name attract more visitors generate more business leads promote more sale of company’s products and services and ultimately help to gain more return on investment. In this era of advanced technology electronic commerce have highly dominated the marketing practice and due to easy availability and affordability of the Internet people are running after it and making huge profit at the comfort of their home. As a serious online business person what is important for your business is to prepare a website that is well designed attractive easy to navigate highly usable good content full of relevant information enough functionalities and are capable of retaining visitors for long and make them come back again. We know Web is the visual interface and what people look on the Web will be manipulated and interpreted into their mind and perception. So being a website designer and programmer you must be careful about the use of color effects lights visual effects positioning and size of contents and use of search engine friendly technology so that people must remember your website name first and search you first on the Web. To achieve all the above mentioned strategies your website building needs a professional touch from qualified website designers and developers who can put their best acquired knowledge and experience to make a suitable portal that can turn each visitors into potential buyers. In fact there are two types of website design such as; static and dynamic website design. You can opt for static as well as dynamic website design where former is based on simple HTML code and latter is developed with advanced and sophisticated technologies based on the information provided in the database. Dynamic website is actually selling these days because apart from its beauty and diverse applicability it gives the ease of quick and self information updating facility to site administrator without being proficient technically. Another important factor for a well designed and programmed website is the quality search engine optimization (SEO) service. SEO is the basis of search engine marketing success because website optimization process spice-up the website with relevant keywords facilitate one-way link enhance link-popularity and place website at top or near the top of search engine result page that ultimately help in attracting motivated buyers and more traffic to website. If you want to excel high in your online business aforesaid strategies of website design and development must be dealt with great care. There are numerous such companies which can give promising website designing and development solution at an affordable rate at the same time false promise making dudes are also in plenty. For affordable Website design and development you can even think of any offshore website design and development company

ประวัติส่วนตัว


  • ชื่อ : สยาม นามสกุล : ศรีโสภา

  • ชื่อเล่น : แจ๊ค

  • ที่อยู่ : 242 ม. 6 ต. ดูนสาด อ. กระนวน จ. ขอนแก่น 40170

  • เกิดวันที่ :15 เดือน : สิงหาคม พ.ศ. : 2534

  • ปัจจันอายุ : 18 ปี 9 เดีอน

  • ส่วนสูง : 173 ซม. น้ำหนัก : 60 กก.

  • ประวัติการศึกษา : จบมัธยมศึกษาตอนต้นจาก โรงเรียนชุมชนดูนสาด ต.ดูนสาด อ.กระนวน จ.ขอนแก่น , จบ ปวช.3 จากวิทยาลัยการอาชีพกระนวน อ.กระนวน จ.ขอนแก่น แผนก คอมพิวเตอร์ธุรกิจ ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อในระดับ ปวส. ที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาขอนแก่น แผนก เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT)

  • นิสัยส่วนตัว : ไม่ค่อยพูด ค่อนข้างจะเงียบแต่ก็กวนตีนนะครับถ้าได้พูด

  • ด้านครอบครัว : ตอนนี้อยู่กับพ่อแม่ มีพี่น้องร่วมท้อง 2 คน คนโตเป็นพี่สาวมีหน้าที่การงานที่มั่นคงแล้ว ส่วนผมเป็นลูกชายคนสุดท้อง

  • คติประจำใจ : เรียน เรียน เล่น เล่น เหนื่อยเล่นแล้วค่อยเรียนต่อ (ฮิฮิ ขำมากมาย)

  • โทรศัพท์ : 08-2744-3304

  • อีเมล์ : http://www.siam_kn@hotmail.com/